เมื่อกล่าวถึงทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์หรือ Creative theory
หากอ้างอิงจากทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของเดวิส Davis (1973 : อ้างถึงใน กรมวิชาการ. 2535 : 6-7) ได้รวบรวมแนวคิดเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ของนักจิตวิทยาที่ได้กล่าวถึงทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์โดยแบ่งแนวความคิดเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ 4 กลุ่มดังนี้
1.ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงจิตวิเคราะห์
มีนักจิตวิทยาทางจิตวิเคราะห์หลายคน เช่น ฟรอยด์ (Freud) และ คริส (Kris) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการเกิดของความคิดสร้างสรรค์ว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นผลมาจากความขัดแย้งภายในจิตใต้สํานึก ระหว่างแรงขับทางเพศ (Libido) กับความรู้สึกผิดชอบทางสังคม (Social Conscience)
ดังนั้นเพื่อให้ แรงขับทางเพศได้แสดงออกมาในรูปหรือพฤติกรรมที่สังคมยอมรับได้ จึงเปลี่ยนเป็น ความคิด สร้างสรรค์
ส่วน คูไบ (Kubie) และ รัค (Rugg) ซึ่งเป็นนักจิตวิเคราะห์แนวใหม่กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์นั้นเกิดขึ้นระหว่างการรู้สติกับจิตใต้สานึก ซึ่งอยู่ในขอบเขตของจิตส่วนที่เรียกว่า จิตก่อนสํานึก
2.ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงพฤติกรรมนิยม
นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ว่าเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการ เรียนรู้ โดยเน้นที่ความสําคัญของการเสริมแรง การตอบสนองที่ถูกต้องกับสิ่งเร้าเฉพาะหรือ สถานการณ์
นอกจากนี้ยังเน้นความสัมพันธ์ทางปัญญา คือการโยงความสัมพันธ์จากสิ่งเร้าหนึ่งไปยัง สิ่งเร้าต่างๆ ทําให้เกิดความคิดใหม่หรือสิ่งใหม่เกิดขึ้น
3.ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงมานุษยนิยม
นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้มีแนวคิดว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่มนุษย์มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซึ่ง มาสโรว์ (Maslow) และ โรเจอร์ (Rogers) เป็นผู้ที่มีบทบาทสาคัญของแนวคิดกลุ่มนี้
โดยมีแนวความคิดว่าผู้ที่สามารถนําความคิดสร้างสรรค์ออกมาใช้ได้คือผู้ที่มีสัจการแห่งตน คือรู้จักตนเองตรงตามความเป็นจริง เข้าใจตนเอง พอใจและยอมรับตนเองทั้งในส่วนที่ดีและส่วนที่บกพร่อง ทั้งจุดอ่อนและจุดแข็ง ตระหนักและใช้ตนเองเต็มตามศักยภาพของตน
มนุษย์จะสามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์ของตนเองมาได้อย่างเต็มที่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถใน การตระหนักรู้ในความสามารถของตนเอง
สามารถพึ่งพาตนเอง ริเริ่มสิ่งใหม่ และพัฒนาตนเองได้ โดยมีอิสรภาพในการคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจเลือกทําสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ผู้คนรอบข้าง และสังคมให้เกิดประโยชน์สุข
ซึ่งบรรยากาศที่สําคัญที่จะช่วยส่งเสริมกระบวนการทางความคิดสร้างสรรค์ คือ การสร้างสภาวะหรือ บรรยากาศที่เอื้ออํานวย อันประกอบด้วยความปลอดภัยในเชิงจิตวิทยา ความมั่นคงของจิตใจ มอง เห็นศักดิ์ศรี และคุณค่าของตนเอง
ความปรารถนาที่จะเล่น ความคิดอันเป็นอิสระในการสร้างสรรค์สิ่ง ต่างๆ ด้วยตนเอง และการเปิดกว้างที่จะรับประสบการณ์ใหม่
โดยกลุ่มมานุษยนิยมได้เน้นถึงบรรยากาศที่จะช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ว่าจะต้องประกอบด้วย ปัจจัยสําคัญดังนี้
1 มีภาวะความปลอดภัยทางจิต กล่าวคือ
- มีการยอมรับในค่าของความเป็นคน เคารพในสิทธิและความคิดเห็น
- ไม่มีการตีราคา ประเมิน หรือเปรียบเทียบความคิดเห็น และผลงาน
- ทุกคนทํางานด้วยความสบายใจ ไม่ต้องหวั่นวิตกและเกรงการถูกทําโทษ ถูกตําหนิ หรือถูกตัดสินว่าทําดีหรือไม่ดี
- มีความมั่นใจในตนเอง มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
- มีความเต็มใจที่จะรับผิดชอบในความสําเร็จ หรือความล้มเหลวของตนได้
2 มีภาวะที่มีเสรีภาพในการแสดงออก กล่าวคือ
- มีจิตใจกว้างที่จะเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ
- มีความปรารถนาที่จะเล่นกับความคิด และสิ่งแปลกใหม่
- เต็มใจที่จะรับรู้ความคิดที่แตกต่าง
- มีความสนใจต่อเหตุการณ์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก รวมทั้งประเด็นข้อถกเถียงที่ยังไม่ยุติ
4.ทฤษฎีอูต้า (AUTA)
ทฤษฎีนี้เป็นรูปแบบของการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในตัวบุคคล เป็นแนวคิดสร้างสรรค์ที่ เดวิด (David) และ ซัลลิแวน (Sullivan) คิดค้นในปี ค.ศ. 1980
โดยอธิบายว่า ความคิดสร้างสรรค์นั้นมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน และสามารถส่งเสริมพัฒนาให้สูงขึ้นได้ ด้วยการส่งเสริมกระบวนการคิดอย่างสร้างสรรค์ ตามการจัดลําดับของการพัฒนาแบบ อุต้า (AUTA) ซึ่งมี 4 ลําดับขั้นตอน ดังนี้
4.1 การตระหนัก (Awareness) คือ การตระหนักถึงความสาคัญของความคิด สร้างสรรค์ที่มีต่อตัวเอง สังคม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต และตระหนักถึงความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในตนเองด้วย
4.2 ความเข้าใจ (Understanding) คือ มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องราว ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่
a) บุคลิกภาพของบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์
b) ธรรมชาติของกระบวนการคิดสร้างสรรค์
c) ความสามารถที่สร้างสรรค์
d) ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์
e) แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์
f) วิธีฝึก และปัจจัยที่ทําให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
4.3 เทคนิควิธี (Techniques) คือ การรู้จักเทคนิควิธีในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ทั้งที่เป็นเทคนิคส่วนบุคคลและเทคนิคที่เป็น มาตรฐาน ซึ่งสามารถทําได้ดังนี้
a) การระดมพลังสมอง (Brainstorming)
b) การเอาคุณลักษณะต่าง ๆ ออกมาแจกแจง หรือปรับลักษณะต่างๆ
c) การจับคู่ในลักษณะ 2 ด้าน แล้วจับคู่สลับกันหลาย ๆ คู่ ก็จะได้รูปแบบหลายรูปแบบ
d) การใช้ความคิดริเริ่มหรือการสร้างสิ่งใหม่ ๆ โดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่แล้ว
e) การคิดโดยเอาสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องมาเกี่ยวข้องกันหรือทําสิ่งธรรมดาให้แปลกใหม่ โดยการใช้ คุณลักษณะของการเปรียบเทียบมาใช้
4.4 การตระหนักในความจริงของสิ่งต่างๆ (Actualization) คือ การรู้จักหรือตระหนักในตนเอง พอใจในตนเอง และพยายามใช้ตนเองและพยายามใช้ตนเองเต็ม ศักยภาพ
รวมทั้งการเปิดกว้างรับประสบการณ์ต่างๆ โดยมีการปรับตัวได้อย่างเหมาะสม การตระหนัก ถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การผลิตผลงานด้วยตนเอง และมีความคิดที่ยืดหยุ่นเข้ากับทุกรูปแบบของชีวิต ได้ด้วยตนเองดังนี้
a) เปิดกว้างรับประสบการณ์ต่าง ๆ โดยมีการปรับตัวได้อย่างเหมาะสม
b) มีความตระหนักถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
c) ผลผลิตผลงานด้วยตนเอง
d) มีความคิดที่ยืดหยุ่นเข้ากับทุกรูปแบบของชีวิต
สรุป
โดยสรุปแล้วเมื่อเราพิจารณาจากองค์ประกอบของทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ทั้ง 4 อย่างที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด จะเห็นได้ว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นทักษะที่มีในตัวบุคคลทุกคนตามธรรมชาติ
และสามารถที่จะพัฒนาให้สูงขึ้นได้โดยอาศัยการตระหนักรู้ในตนเอง การเรียนรู้ที่เปิดกว้าง มีสิ่งแวดล้อม และบรรยากาศที่เอื้ออํานวย ที่จะช่วยผลักดันให้บุคคลสามารถดึงศักยภาพเชิงสร้างสรรค์ของตนเอง ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ในที่สุดนั่นเอง